วันที่ 11 มีนาคม 2563 เวลา 13.00 นาฬิกา ณ ห้อง 2306 ชั้น 23 อาคารสุขประพฤติ คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา นำโดย นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ ประธานคณะกรรมาธิการ ได้เชิญหน่วยงานจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อติดตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและแนวปฏิบัติในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมถึงการกำหนดมาตรการเชิงรุกในการคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออก ตามจุดผ่านแดนต่าง ๆ และการดำเนินการป้องกันการกักตุน การควบคุมราคา และการกระจายสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว
นายนิติ วิวัฒน์วานิช ผู้อำนวยการสำนักบริหารการปกครองท้องที่ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และฝ่ายปกครอง บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างต่อเนื่อง และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงสถานการณ์การระบาดตามสถานการณ์ที่เป็นจริง เพื่อลดความตื่นตระหนก ให้เกิดความเข้าใจและแนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย ทั้งนี้ หากเกิดกรณีต้องสงสัยและความเสี่ยงในสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสในพื้นที่ให้รีบดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน
ด้านพันตำรวจเอก วัชรพล กาญจนกันทร ผู้กำกับการฝ่ายพิธีการเข้าเมือง ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีมาตรการและมีการเฝ้าระวังโดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเมื่อลงจากเครื่องบินจะเข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองโดยเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ หากมีไข้จะคัดแยกตัวเพื่อเฝ้าดูอาการ หากไม่มีไข้จะมีการบันทึกข้อมูลไว้ เช่น ข้อมูลที่พักโดยละเอียด หมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ เป็นต้น ในส่วนการเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอื่นทั่วประเทศ ทั้งด่านทางบกและทางน้ำ จะใช้มาตรฐานคัดกรองเหมือนด่านตรวจคนเข้าเมืองของสนามบิน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว
ขณะที่ นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงในเรื่องปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยว่า ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้เชิญตัวแทนผู้ผลิต และผู้ประกอบการมาร่วมหารือถึงปัญหาดังกล่าวและได้ขอความร่วมมือในการผลิตและจัดจำหน่ายหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นสินค้าควบคุม โดยกำหนดให้ผู้ค้าต้องแจ้งราคาซื้อ ราคาขาย ปริมาณ และสถานที่ให้กรมการค้าภายในทราบ บริษัท
ผู้ส่งออกหน้ากากอนามัย จำนวน 500 ชิ้นขึ้นไปไม่ว่าจะส่งออกเพื่อกรณีใดก็ตาม ต้องขออนุญาติจากกรมการค้าภายใน ส่วนผู้ผลิตหรือนำเข้าหน้ากากอนามัย ต้องมีการสต็อกสินค้าไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อจัดสรรให้เพียงพอต่อการใช้งานของคนในประเทศ ส่วนกรณีโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ขาดแคลนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เข้ามาแก้ปัญหาโดยให้โรงงานเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น พร้อมเร่งจัดสรรไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศให้ถึงวันละ 7 แสนชิ้น เชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์เรื่องดังกล่าวจะดีขึ้น แต่โรงพยาบาลบางแห่งอาจจะเกิดความล่าช้าได้เนื่องจากติดเงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้างของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้ฝากให้กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือถึงกลไกต่าง ๆ ที่จะสามารถลดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างของโรงพยาบาลให้เกิดความรวดเร็ว
ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างท่ามกลางวิกฤติ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหตุเช่นนี้อีก